มาต่อกับเรื่องราวของ Web 2.0 กันครับ(จะถูกใจผู้กระหายข้อมูลมั่งรึเปล่าก็ feedback ให้รู้มั่งเด้อ)
หลังจากที่จั่วหัวข้อค้างไว้ 2 วันแล้ว ก็ได้เลามาเล่าเรื่องของ เวปเวอร์ชั่น 2.0 กันต่อครับ
ก่อนอื่นก็ขอเครียร์เรื่อง เวป1(Web 1.0) เวป2(Web 2.0) ก่อนครับ
แต่ก่อนเวปมันยังไม่มีเวอชั่นกันหรอกนะครับ แต่เมื่อมีการพัฒนาความสามารถและบริการต่างผ่านทาง อินเตอร์เนทและเวป บาวเซอร์(Web Browser)มากขึ้น ๆ มันจึงเหมือนเป็นการเปลี่ยนยุคเปลี่ยนรูปแบบใหม่ ในการใช้งานอินเตอร์เนท เข้าสู่เกนเนอร์เรชั่นใหม่ของการใช้งานผ่นเวป(New Generation)เลยมีการบัญญัติใหม่ ให้เป็นเวป เวอร์ชั่นสอง นั่นก็หมายความว่า ก่อนหน้านั้นก็เป็นเวปชั่นหนึ่งโดยปริยาย นั่นเอง
การใช้ Internet มีขึ้นมาตั้งแต่ปี 2536(1993) บางคนอาจจะเคย ใช้ Netscape Browser ซึ่งตอนนั้น Hot มาก เป็น Brower ตัวแรกที่ทำให้คนทั่วไป อยากใช้งาน อินเตอร์เนทกัน เพราะแสดงผลเอกสารเป็นรูปภาพได้ ออกสู่ท้องตลาดเมือ October 1994(ตอนนั้นชื่อ Netscape Navigater และมีการเปลี่ยนเป็น Communicator แล้วก็เปลี่ยนกลับเป็น Netcape ตามเดิม) Microsoft Internet Explorer ออกมาในปี 1995(August) ทั้งสองชื่อนี้ทำให้เกิดตำนานสงครามเวป บราวเซอร์ขึ้น เพื่อแย่งตลาดSoftware เวปบราวเซอร์กัน และแล้วผู้ชนะก็คือ Microsoft Internet Explorer แต่สงครามนี้ก็ยังมีต่อไป ผู้มาต่อกรรายใหม่ กับ Microsoft มาในชื่อใหม่ คือ Mozilla Firefox
เวปบราวเซอร์ตัวแรกสุดคือ Mosaic พัฒนา โดย National Center for Supercomputing Applications (NCSA) ของ University of Illinois และก็เป็นต้นแบบให้กับ บราวเซอร์รุ่นต่อๆมา และก็ยังฝังตัวอยู่ บราวเซอร์รุ่นใหม่ๆอีกด้วย
The client/server principle รูปแบบการทำงาน ของ Client กับ Server คือ Client เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการ ขอใช้บริการที่มีอยู่บนคอมพิวเตอร์ที่เป็น Server บริการที่ว่านี้อาจจะเป็น Database หรือ Printer เมื่อ Client ต้องการใช้ใช้งานเมื่อใด มันจะส่งสัญญาณ(request)ไปที่ Server ที่ให้บริการนั้น เมื่อ Server รับทราบก็จะตอบสนอง(response)กลับไปที่ Cltent
Web Browser/Web Server
การทำงานระหว่าง Web Browser แบะ Web Server ก็เป็นรูปแบบเดียวกันกับ Client/Server
บริการที่มีใช้บน InterNet เมื่อเริ่มแรก เป็น Static Dociment (static HTML,เอกสารที่ไม่มีการเปลียนแปลงถูกจัดเตรียมไว้ที่ server ในรูปแบบ HTML รอให้ client มาเรียกอ่าน) ต่อมาก็มี Database เพิ่มเติมขึ้นมา (ต้องใช้ script ทางฝั่ง server ดึงข้อมูลจาก Database Server ตาม request ของ client แล้วจัดการให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบ html ส่งกลับไป client) เมื่องานที่ต้องใช้ Database มากขึ้น ก็มีภาษา Script ฝั่ง Serverเกิดขึ้นมาตามลำดับ ไม้ว่าจะ รุ่นเก่าอย่าง Perl,ASP,PHP,JSP การพัฒนางานจาก HTML ธรรมดา ก็ถูกพัฒนาให้เป็นรูปแบบมากขึ้น จนอาจจะคล้ายกับโปรแกรมที่ใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ธรรมดา(PC Computer) เลยเรียกกันว่า Web Application
ภาษาและเครื่องมือที่ใช้พัฒนา Web Application ก็ถูกพัฒนาควบคู่กันมา
การทำการค้าผ่านทาง Internet ก็ชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีเครื่องมือให้พัฒนางานได้ง่ายขึ้น สามารถทำ ตระกร้าสินค้า, เช็คสินค้า รวมทั้งระบบจ่ายเงิน ต่างๆ
เมื่อ ข้อมูลบน Internet มากขึ้น บริการค้นหาข้อมูลจาก Search engine server ก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ในปัจจุระบบ Internet จึงขาด Search engine ไม่ได้เลย
บริการต่างๆบนอินเตอร์เนทถูกพัฒนาให้ตอบสนองความต้องการในชีวิตมากขึ้นตามลำดับ การสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานบนอินเตอร์ กลายเป็นสังคมเป็นอนเตอร์เนท มีการฟังเพลง, ฟังวิทยุ, ดูหนัง, ดู T.V. ผ่าน อินเตอร์เนทได้ ,ซึ่งการทำบริการเหล่านี้ทำงานบนเน็ทได้ ก็หมายความว่า วิธีการที่จะทำให้มันใช้งานได้ก็ถูกพัฒนาควบคู่มาด้วย กลายมาเป็นมาตราฐานใหม่ๆเพิ่มขึ้นตามมา และมาถึงจุดที่ว่า วิธีการเก่าๆกับ Technologyใหม่มันห่างกันมากขึ้น และพฤติกรรมผู้ใช้งานก็เปลียนไปจนอาจจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าคนรุ่นก่อนเขาใช้งาน อินเตอร์เนทกันแบบไหน
มันจึงถึงวาระ ที่จะเรียกว่า เวปเวอร์ชั่น 2(Web 2.0)
บทความของคุญนภัทร ปัญญาพร Windows Live บอกว่า
---------------------------- ความหมาย Web 2.0 และความแตกต่าง Web 2.0 กับ Web 1.0
Web 2.0 จริงๆแล้วก็คือการให้ความหมายของสิ่งที่เปลี่ยนไปของเทคโนโลยีเว็บไซต์ ซึ่งก็
เหมือนกับที่สมัยก่อน เราเปลี่ยนจากทีวีขาวดำมาเป็นทีวีจอสี โดยกำหนดตัวเลขว่าเป็น
generation ที่ 2
ของเว็บนั่นเอง สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ
Web 2.0 นั้นก็ เช่น AJAX, Blog, Feeds, Podcast, Social
networking
ฯลฯ โดย Web 2.0 application จะคุณสมบัติดังต่อไปนี้
ให้ความสำคัญกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะมีส่วนร่วมต่อเว็บไซต์มากขึ้น
ไม่ใช่แค่เข้ามาชมเว็บไซต์ที่เจ้าของเว็บจัดทำขึ้นเท่านั้น ผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถสร้าง
content ของ
เว็บไซต์ขึ้นมาได้เองหรือสามารถ
tag content ของเว็บไซต์ (คล้ายๆการกำหนด keyword ที่เกี่ยวข้องกับ
content
โดยผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นผู้กำหนดขึ้น) ตัวอย่างเช่น Digg, Flickr, Youtube , Wiki
Web 2.0 application
จะมีคุณสมบัติที่เรียกว่า RIA (Rich Internet Application) นั่นคือ Web 2.0
application
จะมี user interface ที่ดียิ่งขึ้น เช่น คุณสมบัติ drag & drop ซึ่งเราใช้กับใน desktop
application
ทั่วๆไปก็สามารถใช้ได้บนเว็บเช่นกัน โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในการสร้าง RIA เช่น AJAX,
Flash
คุณสมบัติที่เรียกว่า mash-up ก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของ Web 2.0 application นั่นก็คือการ
ที่เราสร้าง
Web application ขึ้นมาสักตัวหนึ่ง แล้วเราสามารถเปิด service ของ Web application ให้คน
อื่นๆสามารถมาใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผมสร้าง
Web application เกี่ยวกับระบบการซื้อขายสิ้นค้า online
ขึ้นมาโดยผมสามารถ
mash-up ระบบของผมเข้ากับ Google maps ได้อย่างง่ายดายเพื่อที่จะทำ Web
application
ของผมนั่นมีความสามารถในการ ซื้อขายสินค้า online แล้วยังสามารถคำนวณระยะทางและ
เวลาในการขนส่งสินค้าไปให้ลูกค้า รวมทั้งสามารถพิมพ์แผนที่เส้นทางได้ โดยที่ผมไม่ต้องสร้าง
Application
สำหรับสร้างแผนที่ขึ้นมาเองเลย โดยเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องคือ Feeds, RSS, SOA, Web
services
สรุป
Web 2.0 ก็คือการกำหนดสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยีเว็บ ว่ามีอะไรบ้าง คล้ายๆกับการ
กำหนดยุคปัจจุบันของเว็บว่าอยู่ในยุคที่
2 ของการพัฒนา โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญรวมๆเข้าด้วยกัน
นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ Web 2.0
ข้อ 1 Web1.0 แก้ไขอัพเดตข้อมูลต่างๆในหน้าเว็บได้เฉพาะ Webmaster หรือคนดูแลเว็บไซต์เท่านั้น
แต่ Web2.0 สามารถสื่อสารตอบโต้ได้ทั้งผู้สร้างเว็บและผู้ใช้เว็บ
ดังเช่น Blog หรือการโพสต์กระทู้ต่างๆ
ข้อ 2 Web 1.0 สร้างเรตติ้งแบบปากต่อปากได้ยาก
เนื่องจากสื่อสารทางเดียวแต่ Web 2.0 สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบปากต่อปากได้ดังไฟลามทุ่ง
จากการแนะนำผ่าน Blog ส่วนตัว
คุณอาจตัดสินใจซื้อครีมชนิดนั้นมาใช้เพราะคนที่ใช้แล้วดีมาเขียนบอกใน Blog หรือเลิกซื้อขนมปังยี่ห้อนั้นไปตลอดชีวิต
เมื่อมีคนถ่ายภาพราขึ้นแฮมจากร้านนั้นมาลงให้ดู
ซึ่งเป็นสิ่งที่ Web 1.0 ไม่อาจทำได้
ข้อ 3 Web 1.0 ให้ข้อมูลความรู้แบบตายตัว
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขขึ้นอยู่กับ Webmaster
แต่ Web 2.0 สามารถต่อยอดข้อมูลต่างๆออกไปได้ไม่จำกัด
และข้อมูลจะถูกตรวจสอบคัดกรองอยู่ตลอด ตัวอย่างเช่น Wikipedia ที่ใครก็สามารถเขียนในสิ่งที่ตนรู้ลงไปได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น