จุดจบ ศรีธนญชัย
วันหนึ่งศรีธนญชัยนึกอยากไปเล่นหมากรุกกับพระที่วัด เดินจากบ้านมาถึงริมน้ำ
เห็นเณรองค์หนึ่งพายเรือผ่านมา จึงเรียกให้จอดบอกว่า "ขอข้ามเรือสักที" เณรองค์นั้นรีบจอดเรือ
แล้วทำทีเป็นเดินข้ามไปข้ามมา ยอดตลกหลวงเจอดีเข้าแล้วรีบบอกว่า "นี่พ่อเณรขออาศัยนั่งเรือ
ข้ามฟากไปวัดด้วยคน" เณรจึงให้นั่งเรือไปด้วยแต่กลับลุกขึ้นยืนพายอย่างตั้งอกตั้งใจ
ศรีธนญชัยเกรงเรือจะล่มจึงถามไปว่า "ทำไมไม่นั่งพายเล่าพ่อเณร" เณรองค์นั้นก็เอาพายพาดเรือ
แล้วนั่งทับพายไว้ ยอดตลกหลวงเสียทีเณรสองครั้งสองคราติดต่อกันก็คั่งแค้นใจ
เพราะไม่เคยพ่ายแพ้เชาว์ปัญญาใครมาก่อน รีบบอกให้เณรพายเรือเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา
พายกันตามปกติเถิด เณรจึงถามว่าจะขึ้นตรงไหน ศรีธนญชัยกำลังโกรธก็ว่าจะจอดตรงไหน
ก็ตามใจเถิด เณรเห็นหมู่กอไผ่ขึ้นเรียงรายอยู่ริมตลิ่งจึงเสือกหัวเรือเข้าไป
ยอดตลกหลวงเสียทีเป็นครั้งที่ 3ต้องลุยหนามไผ่หรือหนามซอเกือบครึ่งค่อนวันจึงหลุดออกมาได้
(กาพย์ฉบัง)
อยู่เป็นเจียรกาลนานไป เจ้าศรีทะนนไชย
น้ำใจใคร่ไปวัดวา
ไปนั่งให้สบายกายา เล่นหมากรุกสกา
กับด้วยเถราเจ้าไท
วันนั้นข้ามฟากชลาลัย ท่าคลองหนึ่งไซร้
เพื่อนจึงเดินไปมิช้า
ครั้นถึงริมฝั่งชลธา ไม่มีเรือชา
จะข้ามไปหนาไม่มี
เพื่อนนั่งชาฝั่งนที ช้านานดีหลี
ไม่มีเรือข้ามเลยนา
ดูไปที่หน้าวัด เห็นสามเณรรา
ก็มีวาจาพาที
พ่อเณรเอ็นดูข้านี้ ข้ามเรือสักที
เอ็นดูโยมนี้เถิดนา
เณรน้อยยินถ้อยวัจนา จึงข้ามไปมา
เรือที่หน้าท่าริมชล
ทะนนไชยน้ำใจคิดจน เสียรู้เสียกล
ครั้งนี้มาจนอุรา
จึงกลับคืนถ้อยวาจา ว่าเอาเรือมา
ข้ามฟากนี้นาพลอยไป
เณรจึงพาเรือไปไว ถึงศรีทะนนไชย
เพื่อนไซร้ก็ลงนาวา
เณรน้อยพายลอยล่องมา ถึงกลางชลธา
จึงมีวาจาว่าไป
ว่าประสกจะขึ้นที่ไหน ทะนนไชยว่าตามใจ
ที่ไหนก็จอดเถิดหนา
เจ้าเณรบ่ายบกเรือมา ตรงกอไผ่ป่า
ซึ่งรกหนามหนาชัฎไป
จอดให้นายศรีทะนนไชย ว่าประสกขึ้นไป
ข้าไซร้จะไปวัดวา
ทะนนไชยเสียรู้เณรา คิดน้อยหัทยา
ก็จนอุราขึ้นไป
ต้องแผ้วต้องถางกอไผ่ แต่เช้าเล่าไซร้
จนบ่ายชายไปสุริยา
จนตลอดไปยังเคหา ว่าจะไปวัดวา
เล่นหมากรุก สกาเปล่าไปฯ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
อยู่ต่อมาไม่นานสามเณรซึ่งเฆี่ยนศรีธนญชัยด้วยแส้ปัญญาจนพ่ายแพ้ยับเยิน
นึกอยากรับราชการจึงขออนุญาตโยมพ่อโยมแม่และอุปัชฌาย์สึก แล้วไปถวายตัวกับ
พระเจ้าภูเบศปฎิบัติหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนได้เลื่อนขึ้นเป็นนายเวรผู้พิจารณา
ความชั้นต้น
วันหนึ่งสองตายายมาร้องเรียนว่าศรีธนญชัยได้ขอยืมเงินไปหนึ่งชั่งห้าตำลึง
บอกสองเดือนจะนำมาคืนให้แต่นี่ผ่านมาปีกว่า ไปทวงครั้งใดก็ทำนิ่งเฉย นายเวรเรียก
คู่ความมาสอบสวน ศรีธนญชัยก็อ้างข้อความในสัญญาบอกสองเดือนจะใช้หนี้ให้ แต่นี่เพิ่ง
เดือนเดียวเท่านั้น จะรีบทวงไปทำไม นายเวรรู้ทันเล่ห์ถามว่าท่านหมายถึงเดือนบนฟ้า
ใช่หรือไม่ เมื่อยอดตลกหลวงรับว่าใช่ นายเวรจึงเรียกมาตัดสินในเวลากลางคืน
พร้อมชี้ให้ดูเดือนบนท้องฟ้ากับเดือนอีกดวงหนึ่งที่ปรากฏเงาอยู่ในน้ำ
รวมเป็นสองเดือนพอดี ศรีธนญชัยจำต้องใช้หนี้คืนโจทก์ไปและชักแน่ใจว่านายเวร
หรืออดีตชาติของสามเณรผู้นี้ คือน้องชายของตนกลับชาติมาเกิดเพื่อแก้แค้นนั่นเอง
หลังจากแพ้คดีศรีธนญชัยก็มีแต่ความกลัดกลุ้ม ใบหน้าเศร้าหมองร่างกายซูบผอม โรคภัยเบียดเบียน
คิดว่าตนคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน จึงให้ภรรยาไปเฝ้าพระเจ้าภูเบศว่า ตนมีเรื่องสำคัญจะทูล
พระเจ้าภูเบศเห็นแก่คนใกล้จะตาย อุตส่าห์รีบเสด็จมา
ศรีธนญชัยจึงทูลว่า "การที่จะเสวยปลาหมอปิ้งนั้นให้หมั่นกลับอย่าให้หนังแห้งจึงจะอร่อย"
พระเจ้าภูเบศคลั่งแค้นพระทัยตรัสว่า "มึงตายเมื่อไรกูจะให้สนมนางในมาเยี่ยวรดกองกระดูกให้สมใจ"
ได้ฟังดังนั้น ศรีธนญชัยจึงสั่งภรรยาว่า ให้เอาไม้ลังตังมาเผาศพตนห้ามใช้ไม้อย่างอื่น
เมื่อนางข้าหลวงได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าภูเบศก็พากันมาเยี่ยวรดเถ้ากระดูก
ของศรีธนญชัย จึงโดนขุยไม้ลังตังฟุ้งเข้าใส่ในร่มผ้าต่างคันคะเยอ
แหกปากร้องลั่นไปตามๆ กัน นับว่ายอดตลกหลวงยังคงรักษาเกียรติภูมิ
ความเป็นผู้มีเชาว์ปัญญาไว้ได้จนวาระสุดท้าย
แม้จะใช้ไปในทางฉลาดแกมโกงซะเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งเยาวชนไม่ควรเอามาเป็นแบบอย่าง
แต่เรื่องราวของศรีธนญชัยก็ให้แง่คิดและคติอยู่หลายประการ
(กาพย์สุรางคนางค์)
๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย
แต่วันนั้นไป ใจเศร้าโรยรา
ด้วยไม่เคยแพ้ แก่ใครเลยนา
ให้ละอายหน้าตา ใจมาทุกข์ตรอม
๏ บังเกิดโรคา
เบียดเบียนบีฑา กายาไผ่ผอม
นอนชุกขุกไข ไม่วายทุกข์ตรอม
กายไซร้ไผ่ผอม ตรอมทุกเวลา
๏ เกือบใกล้ความมรณ์
ยิ่งให้อาวรณ ร้อนเร่าอุรา
ให้เมียเข้าไป เฝ้าไท้ราชา
ให้กราบทูลว่า จะขอลาตาย
๏ ใคร่พบพระองค์
พระผู้พุทธพงศ์ จะทูลถวาย
ให้เสด็จมาไซร้ บอกไปไม่ได้
เรื่องที่มุ่งหมาย ประเสริฐเลิศฟ้า
๏ เมียก็เข้าไป
ทูลองค์ทรงชัย ผู้ผ่านนครา
ตามคำทะนนไชย สั่งไปทูลว่า
ทรงทราบหัทยา ในองค์ทรงธรรม
๏ เป็นความรู้ดี
ของมันนั่นมี เสด็จจะลาผัน
ทะนนไชยไข้หนัก ชักใจอยู่นั้น
พระองค์ทรงธรรม์ ขึ้นยังเคหา
๏ จึงศรีทะนนไชย
ยอมือด้วยไว ขึ้นนบวันทา
ทูลแก่พระองค์ ทรงอิศรา
ว่าจะขอลา ชีวาเป็นผี
๏ ความรู้หนึ่งนา
ยิ่งเลิศชนา ทูลทราบคดี
เชิญขยับพระกาย มาให้ใกล้ที่
เพื่อนทูลคดี แก่พระราชา
๏ ปลาหมอตับปิ้ง
อ่าได้ตั้งผิง ไว้ประเดี๋ยวนา
ให้แปรข้างละที กินดีหนักหนา
จะจิ้มน้ำปลา กินน่าอร่อย
๏ พระองค์ทรงฟัง
ถ้อยคำวัจนัง ด่าว่าอ้ายถ่อย
แต่มันจะตาย กล่าวคดชดช้อย
พูดเล่นยับย่อย ชั่วถ่อยหนักนา
๏ ถ้ามึงตายไซร้
กูจะให้นางใน เยี่ยวใส่ธาตุนา
สั่งแล้วเสด็จกลับ ยังมณฑิรา
สั่งนางซ้ายขวา ข้างหน้าข้างใน
๏ สืบให้รู้แท้
ทะนนไชยตายแน่ จะเผาที่ไหน
ทั้งหลายจึงชวน ถ้วนหน้ากันไป
เยี่ยวใส่ธาตุไซร้ สมใจมันนาฯ
๏ ฝ่ายศรีทะนนไชย
ผู้ทราบในใจ ว่าไท้ราชา
จะให้เยี่ยวใส่ ในธาตุกูนา
เพื่อมีวาจา สั่งภรรยาไว้
๏ ว่าตัวกูนี้
ถ้าม้วยชีวี จะเผาผีไซร้
อย่าเอาไม้อื่น กูไม่ชอบใจ
ไม้ลังตังใส่ ชอบไซร้ใจกูฯ
๏ อยู่สองสามวัน
ทะนนไชยอาสัญ บ่ายหน้าไปสู่
นรกหมกไหม้ ทนกายตนอยู่
บาปตีพระครู ท่านผู้อาจารย์ฯ
๏ ฝ่ายว่านางใน
ครั้นรับสั่งไท สืบอยู่ทุกกาล
รู้แท้แน่ใจ ทะนนไชยวายปราณ
เผาป่าช้าชาญ เยี่ยวใส่ธาตุไว้
๏ ต่างเยี่ยวไม่ช้า
เต้าลังตังนา ฟุ้งซ่านขึ้นไป
ต้องของสงวน ถ้วนหน้าคนใน
ฟกบวมขึ้นไซร้ นางในป่วยงาน
๏ เรื่องศรีทะนนไชย
ผูกกล่าวเล่าไป หมดสิ้นตำนาน
ผูกแต่จำได้ ไว้ให้เด็กอ่าน
พอรู้นิทาน เรื่องศรีทะนนไชยฯ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
หมายเหตุและขอบคุณ
1. ร้อยแก้ว จากหนังสือ 50 นิทานไทย เรื่อง ศรีธนญชัย (เชียงเมียง) เรียบเรียงโดย ธนากิต ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณชาเขียว แห่ง Greentea's Small World
http://www.freewebtown.com/greentea47/
2. ร้อยกรอง จากเวบไซด์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3. ข้อความทั้งหมดนี้ ผมนำมาจาก Blog OKnation นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น